วันจันทร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2552

Dos & don't ปลูกนิสัยให้ลูก "ฉลาดกิน"

Dos
  1. เป็นตัวอย่างในการทานอาหารและออกกำลังกาย รวมทั้งไปจ่ายตลาดด้วยกัน
  2. หา ผลไม้มาเป็นของว่างให้เค้าหยิบใกล้ๆมือ
  3. ทานอาหารพร้อมๆกับลูก
  4. สอนให้ลูกรู้เท่าทันโฆษณาชวนเชื่อที่ชวนให้เด็กซื้อขนมไม่มีประโยชน์
  5. หานิทานหรืออธิบายข้อเสียของการทานอาหารผิดหลักโภชนาการและถูกหลักโภชนาการ มาอ่านกับลูกบ่อยๆ

Don't
  1. เลิกซื้อขนมหวาน น้ำอัดลม มาตุนที่บ้าน
  2. เลิกต่อรอง ให้รางวัลเป็น ขนมขบเคี้ยวไม่ว่าโอกาสไหน
  3. เลิกปรุงรสอาหารให้ลูกด้วยน้ำปลา น้ำตาล ให้อาหารรสจัด
  4. เลิกตัดกับข้าว แบบ ปรุงสำเร็จ เพราะจะทำให้ลูกยึกติดค่านิยมการทานแบบสะดวก เร็ว และอร่อย ไว้ก่อน
  5. เด็กอ้วน ไม่ได้หมายความว่าสุขภาพดี

วันอาทิตย์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2552

คู่มือการดำเนินชีวิตสำหรับประชาชน ปี 2541 และ ทฤษฎีใหม่

พระราชดำรัสพระราชทานเมื่อ วันที่ 4 ธันวาคม 2540
ทฤษฎีใหม่



ทฤษฎีใหม่ขั้นที่หนึ่ง
(๑) ถ้าพูดอย่างสรุปที่สุด เป็นวิธีปฏิบัดิของเกษตรกรที่เป็นเจ้าของที่ดินจำนวนน้อย แปลงเล็ก(ประมาณ ๑๕ ไร่)
(๒) หลักสำคัญ! ให้เกษตรกรมีความพอเพียงโดยเลี้ยงตัวเองได้ (self sufficiency) ในระดับชีวิตที่ประหยัดก่อน ทั้งนี้ต้องมีความสามัคคีในท้องถิ่น
(๓) มีภารผลิตข้าวบริโภคพอเพียงประจำปี โดยถือว่าครอบครัวหนึ่ง ทำนา ๕ไร่ จะมีข้าวพอกินตลอดปีข้อนี้เป็นหลักสำคัญของทฤษฏีนี้
(๔) เพื่อการนี้ จะต้องใช้หลัnว่า ต้องมีน้ำ ๑.๐ooลูกบาศก์เมตรต่อไร่ ฉะนั้น ๕ ไร่ต้องมี ๕๐๐๐ ลูกบาศก์เมตร แต่ละแปลง (๑๕ ไร่) ทำนา ๕ ไร่ ทำพืชไร่หรือไม้ผล ฯลฯ ๕ ไร่ (= ๑๐ ไร่) จะต้องมี น้ำ ๑๐,๐ooลูกบาศก์เมตรต่อปี จึงไค้ตั้งสูตรคร่าว ๆ ว่า แต่ละแปลงประกอบด้วย นา ๕ ไร่ และพืชไร่และสวน ๕ ไร่ สระน้ำ ๓ ไร่ ลึก ๕ เมตร จุประมาณ ๑๙,๐๐๐ ลูกบาศก์เมตร (๑๙,๒๐๐) ที่ยู่อาศัย และอื่น ๆ ๒ ไร่ รวมทั้งหมด ๑๕ ไร่
(๕) อุปสรรคสำคัญที่สุดคือ อ่างเก็บน้ำ หรือสระที่ได้รับน้ำให้เต็มเพียงปีละหนึ่งครั้ง จะมีการระเหยวันละ๑ เซนติเมตรโดยเฉลี่ย ในวันที่ฝนไม่ตก หมายความว่าในปีหนึ่งถ้านับว่าแห้ง ๓๐๐ วัน ระดับน้ำของสระจะลดลง ๓ เมตร (ในกรณีนี้ ๓/๔ ของ ๑๙,๐๐๐ ลูกบาศก์เมตร น้ำที่ใช้ได้จะเหลือ ๔.๓๕๐ ลูกบาศก์เมตร) จึงจะต้องมีการเติมน้ำเพื่อให้เพียงพอ
(๖) มี ความจำ เป็นที่จ ะมี แหล่งน้ำ เพิ่ม เติมสำหรับโครงการวัดมงคลชัยพัฒนาได้สร้างอ่างเก็บน้ำจุ ๘๐๐,๐๐๐ ลูกบาศก์เมตร สำหรับเลี้ยง ๓, ๐๐๐ ไร่ (๗) ลำพังอ่างเก็บน้ำจุ ๘๐๐, ๐๐๐ ลูกบาศก์เมตรจะเลี้ยงได้ ๓๐๐ ไร่ (โครงการวัดมงคลมีพี้นที่ ๓,๐๐๐ ไร่แบ่งเป็น ๒๐๐ แปลง) อ่างนี้จึงเลี้ยงได้ ๔ ไร่ต่อแปลง ลำพังสระในแปลงเลี้ยงได้ ๔๓๕ ไร่ จึงเห็นได้ว่า หมิ่นเหม่มาก (๔.๕ ไร่ + ๔.oo ไร่= ๘.๕ ไร่) ถ้าคำนึงว่า ๘.๕ ไร่นั้น จะทำเกษตรกรรมอย่างสมบูรณ์ได้ อีก ๖.๒๕ ไร่ จะต้องอาศัยเทวดาเลี้ยง แต่ถ้าคำนึงว่า ในระยะที่ไม่มีความจำเป็นที่จะใช้น้ำ หรือมีฝนตก น้ำฝนที่ตกมาจะเก็บไว้ได้ในอ่างและในสระ สำรองไว้สำหรับเมื่อต้องการ อ่างและสระจะทำหน้าที่เฉลี่ยน้ำฝน (regulator) จึงเข้าใจว่าในระบบนี้น้ำจะพอ (๓) ปัญหาใหญ่อีกข้อหนึ่ง คือราคาการลงทุนค่อนข้างสูง เกษตรกรจะต้องได้รับความช่วยเหลือจากภายนอก (ทางราชการ ทางมูลนิธิ และ ทางเอกชน) แต่ค่าดำเนินการไม่สิ้นเปลืองสำหรับเกษตรกร

ทฤษฎีใหม่ มูลนิธิชัยพัฒนา วันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๓๗

ทฤษฎีใหม่ขั้นที่สอง เมื่อตั้ง ศูนย์บริการที่วัดมงคลชัยพัฒนาและแปลงตัวอย่างที่ "ทางดิสโก้" สำเร็จแล้ว เกษตรกรก็เริ่มเข้าใจวิธีการ จึงขอให้ดำเนินการในที่ดินของตน เมื่อได้ผลก็ต้องเริ่มขั้นที่สอง คือ ให้เกษตรกรรวมพลังกันในรูปกลุ่มหรือสหกรณ์ร่วมแรงใน
(๑) การผลิต (พันธุ์พืช เตรียมดิน ชลประทาน ฯลฯ)
(๒) การตลาด (ลานตากข้าว ยุ้ง เครี่องสีข้าว การจำหน่ายผลผลิต)
(๓) การเป็นอยู่ (กะปิน้ำปลา อาหาร เครื่อง นุ่งห่ม ฯลฯ)
(๔) สวัสดิการ (สาฉารณสุข เงินกู้)
(๕) การศึกษา (โรงเรียน ทุนการศึกษา)
(๖) สังคมและศาสนาด้วยความร่วมมีอของหน่วยราชการ มูลนิธิ และเอกชน
ทฤษฎีใหม่ มูลนิธิชัยพัฒนา วันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘

ทฤษฎีใหม่ขั้นที่สาม ติดต่อร่วมมือกับแหล่งเงิน (ธนาคาร) และกับแหล่งพลังงาน (บริษัทน้ำมัน) ตั้งและบริหารโรงสี
(๒) ตั้งและบริหารร้านสหกรณ์
(๑,๓) ช่วยการลงทุน
(๑,๒) ช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิต
(๔, ๕, ๖) ทั้งนี้ ทั้งฝ่ายเกษตรกรและฝ่ายฉนาคารกับบริษัทจะได้รับประโยชน์ เกษตรกรขายข้าวในราคาสูง (ไม่ถกกดราคา) ธนาคารกับบริษัทซื้อข้าวบริโภคในราคาต่ำ (ซื้อข้าวเปลือกตรงจากเกษตรกรและมาสีเอง) เกษตรกรซื้อเครื่องอปโภคบริโภคในราคาต่ำ (เป็นร้านสหกรณ์ ราคาขายส่ง)
(๑,๓) ธนาคารกับบริษัท จะสามารถกระจาย บุคลากร
ทฤษฎีใหม่ มูลนิธิชัยพัฒนา วันที่ ๑๓ กมภาพันธ์ ๒๕๓๘

บทสวดมนต์

บทสวดมนต์
กราบพระรัตนตรัย

อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ (กราบ)สะวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม ธัมมัง นะมัสสามิ (กราบ)สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สังฆัง นะมามิ (กราบ)
นมัสการ (นะโม)
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ (๓ จบ)
ไตรสรณคมน์ (พุทธัง ธัมมัง สังฆัง)
พุทธัง สะระณัง คัจฉามิธัมมัง สะระณัง คัจฉามิสังฆัง สะระณัง คัจฉาม
ทุติยัมปิ พุทธัง สะระนัง คัจฉามิทุติยัมปิ ธัมมัง สะระนัง คัจฉามิทุติยัมปิ สังฆัง สะระนัง คัจฉามิ
ตะติยัมปิ พุทธัง สะระนัง คัจฉามิตะติยัมปิ ธัมมัง สะระนัง คัจฉามิตะติยัมปิ สังฆัง สะระนัง คัจฉามิ
พระพุทธคุณ (อิติปิ โส)
อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธวิชชาจะระณะสัมปันโน สุคะโต โลกะวิทูอะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิสัตถา เทวะมะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติฯ
พระธรรมคุณ
สะวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโมสันทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปะนะยิโกปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหีติฯ *
(* อ่านว่า วิญญูฮีติ)
พระสังฆคุณ
สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆอุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆสามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆยะทิทัง จัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลาเอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆอาหุเนยโย* ปาหุเนยโย* ทักขิเณยโย* อัญชะลี กะระณีโยอะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติฯ
(อ่านออกเสียง อาหุไนยโย ปาหุไนยโย ทักขิไณยโย โดยสระเอ กึ่งสระไอ)
พุทธชัยมงคลคาถา (พาหุงฯ)
พาหุง สะหัสสะมะภินิมมิตะสาวุธันตังครีเมขะลัง อุทิตะโฆระสะเสนะมารังทานาทิธัมมะวิธินา ชิตะวา มุนินโทตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิฯ
มาราติเรกะมะภิยุชฌิตะสัพพะรัตติงโฆรัมปะนาฬะวะกะมักขะมะถัทธะยักขังขันตีสุทันตะวิธินา ชิตะวา มุนินโทตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิฯ
นาฬาคิริง คะชะวะรัง อะติมัตตะภูตังทาวัคคิจักกะมะสะนีวะ สุทารุณันตังเมตตัมพุเสกะวิธินา ชิตะวา มุนินโทตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิฯ
อุกขิตตะขัคคะมะติหัตถะสุทารุณันตังธาวันติโยชะนะปะถังคุลิมาละวันตังอิทธีภิสังขะตะมะโน ชิตะวา มุนินโทตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิฯ
กัตตะวานะ กัฏฐะมุทะรัง อิวะ คัพภินียาจิญจายะ ทุฏฐะวะจะนัง ชะนะกายะมัชเฌสันเตนะ โสมะวิธินา ชิตะวา มุนินโทตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิฯ
สัจจัง วิหายะ มะติสัจจะกะวาทะเกตุงวาทาภิโรปิตะมะนัง อะติอันธะภูตังปัญญาปะทีปะชะลิโต ชิตะวา มุนินโทตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิฯ
นันโทปะนันทะภุชะคัง วิพุธัง มะหิทธิงปุตเตนะ เถระภุชะเคนะ ทะมาปะยันโตอิทธูปะเทสะวิธินา ชิตะวา มุนินโทตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิฯ
ทุคคาหะทิฏฐิภุชะเคนะ สุทัฏฐะหัตถังพรัหมัง* วิสุทธิชุติมิทธิพะกาภิธานังญาณาคะเทนะ วิธินา ชิตะวา มุนินโทตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิฯ
เอตาปิ พุทธะชะยะมังคะละอัฏฐะคาถา โยวาจะโน ทินะทิเน สะระเต มะตันทีหิตวานะเนกะวิวิธานิ จุปัททะวานิโมกขัง สุขัง อะธิคะเมยยะ นะโร สะปัญโญฯ
* พรัหมัง อ่านว่า พรัมมัง
มหาการุณิโก
มะหาการุณิโก นาโถ หิตายะ สัพพะปาณินังปูเรตวา ปาระมี สัพพา ปัตโต สัมโพธิมุตตะมังเอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ เต ชะยะมังคะลังฯ
ชะยันโต โพธิยา มูเล สักยานัง นันทิวัฑฒะโน เอวังตะวัง วิชะโย โหหิ ชะยัสสุ ชะยะมังคะเล อะปะราชิตะปัลลังเก สีเส ปะฐะวิโปกขะเร อะภิเสเกสัพพะพุทธานัง อัคคัปปัตโต ปะโมทะติฯ
สุนั ขัตตัง สุมังคะลัง สุปะภาตัง สุหุฏฐิตัง สุขะโณสุมุหุตโต จะ สุยิฏฐัง พรัหมะ** จาริสุ ปะทักขิณังกายะกัมมัง วาจากัมมัง ปะทักขิณัง ปะทักขิณังมะโนกัมมัง ปะณิธี เต ปะทักขิณา ปะทักขิณานิกัตตะวานะ ละภันตัตเถ ปะทักขิเณฯ
** พรัหมะ อ่านว่า พรัมมะ
ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตาสัพพะพุทธานุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เตฯ
ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตาสัพพะธัมมานุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เตฯ
ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตาสัพพะสังฆานุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เตฯ
หลังจากสวดมนต์ตั้งแต่ต้นจนจบบทพาหุงมาหากาฯ แล้วก็ให้สวดเฉพาะบทพระพุทธคุณ หรืออิติปิโส ให้ได้จำนวนจบเท่ากับอายุของตนเอง แล้วสวดเพิ่มไปอีกหนึ่งจบ ตัวอย่างเช่น ถ้าอายุ ๓๕ ปี ต้องสวด ๓๖ จบ จากนั้นจึงค่อยแผ่เมตตา อุทิศส่วนกุศล
พุทธคุณเท่าอายุเกิน ๑ (อิติปิโสเท่าอายุ+๑)

อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธวิชชาจะระณะสัมปันโน สุคะโต โลกะวิทูอะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิสัตถา เทวะมะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติฯ
กลับสู่ด้านบน
บทแผ่เมตตา
สัพเพ สัตตา สัตว์ทั้งหลาย ที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้นอะเวรา โหนตุ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรแก่กัน และกันเลยอัพยาปัชฌา โหนตุ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้ พยาบาทเบียดเบียนซึ่งกันและกันเลยอะนีฆา โหนตุ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีความทุกข์กาย ทุกข์ใจเลยสุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ จงมีความสุขกายสุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเทอญ
กลับสู่ด้านบน

บทอุทิศส่วนกุศล (บทกรวดน้ำ)
อิทัง เม มาตาปิตูนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ มาตา ปิตะโรขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จ แก่มารดาบิดาของข้าพเจ้า ขอให้มารดาบิดาของข้าพเจ้า จงมีความสุข
อิทัง เม ญาตีนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ ญาตะโยขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จ แก่ญาติทั้งหลายของข้าพเจ้า ขอให้ญาติทั้งหลายของข้าพเจ้า จงมีความสุข
อิทัง เม คุรูปัชฌายาจะริยานังโหตุ สุขิตา โหนตุ คุรูปัชฌายาจะริยาขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จ แก่ครูอุปัชฌาย์อาจารย์ของข้าพเจ้า ขอให้ครูอุปัชฌาย์อาจารย์ของข้าพเจ้า จงมีความสุข
อิทัง สัพพะ เทวะตานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพ เทวาขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่เทวดาทั้งหลายทั้งปวง ขอให้เทวดาทั้งหลายทั้งปวง จงมีความสุข
อิทัง สัพพะ เปตานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพ เปตาขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จ แก่เปรตทั้งหลายทั้งปวง ขอให้เปรตทั้งหลายทั้งปวง จงมีความสุข
อิทัง สัพพะ เวรีนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพ เวรีขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จ แก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งปวง ขอให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งปวง จงมีความสุข
อิทัง สัพพะ สัตตานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพ สัตตาขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จ แก่สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ขอให้สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง จงมีความสุข
กลับสู่ด้านบน

เรื่อง บ้านผิดฮวงจุ้ย..แก้อย่างไร

เรื่อง บ้านผิดฮวงจุ้ย..แก้อย่างไรดี

"การแก้ไขฮวงจุ้ยภายนอกบ้าน" ความจริงแล้ว การแก้ไขฮวงจุ้ยภายนอกบ้าน จะทำได้ยากมาก เพราะไม่สามารถไปแก้ไขภายนอกบ้านได้ นั่นเอง ไม่เหมือนภายในบ้านของเราเอง จะแก้อย่างไรก็ได้ จะทุบบ้านทิ้งทั้งหลังก็ไม่มีใครว่าอะไร ผลกระทบที่เกิดจากภายนอกมีมากมายครับ ผมจะให้ข้อสังเกตและหลักในการแก้ไข โดยจะยกกรณีที่พบเจอกันบ่อยๆ มาพูดถึงก็แล้วกันนะครับ ลองมาดูสิว่า มีกรณีใดบ้าง ที่ถือว่าฮวงจุ้ยเสีย บ้านตรงทางสามแพร่ง กรณีนี้ จะพบเจอกันอยู่บ่อยๆ และมักจะมีคนถามอยู่เสมอว่า จะแก้ไขอย่างไรถ้าเจอปัญหานี้ ก่อนอื่นตรงรู้เสียก่อนว่า บ้านตรงทางสามแพร่งมีผลเสียอย่างไร ตามหลักฮวงจุ้ยบอกว่า บ้านตรงทางสามแพร่ง ถือว่าเป็นจุดปะทะ เป็นจุดที่รับพลังที่รุนแรงเกินไป ถือเป็นชี่พิฆาต ส่งผลกระทบต่อบ้านหลังนั้นถึงขั้นวิบัติได้ ฟังแล้วค่อนข้างจะน่ากลัวนะครับ แต่ถ้ามองตามหลักตรรกะวิทยา หรือใช้เหตุใช้ผลมาอธิบายกัน ก็มีข้อสรุปเช่นเดียวกันว่า "ไม่ดี" เหตุผลก็เพราะ บริเวณทางแยกถือเป็นตำแหน่งวุ่นวาย รถเลี้ยวเข้าออกอยู่บริเวณหน้าบ้าน ทำให้คนในบ้านอยู่กันอย่างไม่ค่อยสงบสักเท่าไร คำว่าตำแหน่งปะทะ ก็คือลม บ้านตรงทางสามแพร่งจะได้รับกระแสลมที่แรงกว่าจุดอื่น ลมจะพัดพาเอาฝุ่นละอองพัดเข้าสู่บ้าน ส่งผลกระทบต่อคนในบ้านได้ นอกจากนี้ ยังเป็นตำแหน่งที่เสี่ยงภัยต่อการเกิดอุบัติเหตุรถพุ่งชนบ้านได้ง่ายอีกด้วย เมื่อเรารู้สาเหตุแล้ว การแก้ไขก็ไม่ยากครับ การลดแรงปะทะให้น้อยลง เพียงแค่ปลูกต้นไม้ให้เอาไว้หน้าบ้าน ก็ถือว่าแก้ไขได้แล้ว เพราะต้นไม้ใหญ่จะช่วยลดมลภาวะในเรื่องของเสียงรบกวน กรองฝุ่นที่พัดเข้าบ้าน แถมยังเป็นเกาะป้องกัน เวลารถเสียหลักพุ่งเข้ามาชนบ้านได้อีกด้วย ต้นไม้ ถือเป็นอุปกรณ์แก้ฮวงจุ้ยที่ดีที่สุด เพราะนอกจากจะแก้ปัญหาที่เกิดจากภายนอกแล้ว ยังได้ประโยชน์กับภายในบ้านด้วย ทำให้บ้านร่มเย็น ไม่ร้อนหรือแห้งแล้งจนเกินไป ไม่จำเป็นต้องเอายันต์หรือกระจกเงามาติดหรอกครับ เพราะจากประสบการณ์ที่ผมเก็บข้อมูลมา มักแก้ไม่ผลครับ ตรงข้ามบ้านมีหลังคาจั่ว กรณีนี้ก็ทำให้หลายคนเกิดความกังวลกันมาก แหมจะไม่กังวลได้อย่างไร บ้านส่วนใหญ่ก็เป็นหลังคาทรงจั่วสามเหลี่ยมกันทั้งนั้น ในทางฮวงจุ้ยจะบอกเอาไว้ว่า รูปทรงสามเหลี่ยม เปรียบเสมือนศรพิฆาต ที่พุ่งออกจากคันธนู จะทำร้ายผู้ที่อยู่ตรงข้าม ให้เจ็บป่วยได้ วิธีแก้ไขตามหลักฮวงจุ้ย มีหลายวิธีครับ วิธีที่นิยมมากที่สุดก็คือ ปลูกต้นไม้ใหญ่บังจั่วสามเหลี่ยม ถ้าไม่สามารถปลูกต้นไม้ใหญ่ได้ ก็ให้ใช้กระจกเว้ามาติดไว้ในแนวเดียวกับจั่วสามเหลี่ยม คุณสมบัติของกระจกเว้า จะทำให้รูปสามเหลี่ยม หัวกลับ หรือไม่ก็อย่าทำให้ห้องที่ตรงกับจั่วสามเหลี่ยม เป็นห้องนอน ทำเป็นห้องอื่นที่ไม่มีคนอยู่ประจำ
บ้านอยู่ติดบ้านร้าง กรณีนี้จะรวมไปถึงบ้านที่ติดกับที่ดินรกร้างว่างเปล่า สุสาน ในตำราฮวงจุ้ยระบุเอาไว้ว่า ที่ร้าง บ้านร้าง หรือสุสาน จะก่อสภาวะอินชี่ ที่นิ่งตาย ไม่เจริญ บ้านที่ อยู่ใกล้จะอับโชค วิธีแก้ไข ให้ติดไฟ 2 ดวงบริเวณที่ติดกับบ้านร้าง ถ้าบ้าร้าง อยู่ตรงข้ามกับบ้าน ก็ให้ติดหน้าบ้าน ถ้าอยู่หลังบ้านให้ติดหลังบ้าน อยู่ข้างบ้านก็ให้ติดข้างบ้าน แสงไฟเป็นพลังหยางที่เคลื่อนไหว มีชีวิต จะช่วยสลายพลังอินชี่ ที่นิ่งตายได้ ให้เปิดไฟทิ้งไว้ทั้งคืน เสาไฟฟ้าแรงสูงอยู่ใกล้บ้าน เรื่องของเสาไฟหลายคนเข้าใจผิด คิดว่าแค่เสาไฟฟ้าธรรมดาก็มีผลกระทบ ความจริงแล้วกรณีที่จะมีผลกระทบจะต้องเป็นเสาไฟฟ้าขนาดใหญ่ หรือเสาไฟที่เป็นหม้อแปลงเท่านั้น เหตุผลก็เพราะ เสาไฟฟ้าธรรมดาจะเป็นเพียงแค่เสาที่กระแสไฟไหลผ่านเท่านั้น ส่วนเสาที่เป็นหม้อแปลง ประจุไฟฟ้าจะมารวมอยู่ในหม้อแปลง ผลจึงต่างกัน ผลกระทบที่เกิดจากเสาไฟฟ้าขนาดใหญ่หรือหม้อแปลงไฟ ก็คือ บริเวณนั้นจะเกิดคลื่นไฟฟ้าแผ่กระจายไปทั่ว เจ้าคลื่นตัวนี้แหละ ที่จะส่งผลกระทบต่อคนที่อยู่ใกล้ โดยเฉพาะเรื่องของสุขภาพ วิธีแก้ไขที่ดีที่สุด พยายามหลีกเลี่ยงวางตำแหน่งห้องนอนไว้บริเวณที่อยู่ใกล้กับเสาไฟฟ้าแรงสูง ถ้าไม่สามารถย้ายห้องนอนหลบได้ ให้ปลูกต้นไม้บังเสาไฟเอาไว้ เพราะต้นไม้จะช่วยลดคลื่นไฟฟ้าให้เข้าบ้านน้อยลง แต่อย่าปลูกต้นไม้ใกล้กับเสาไฟฟ้ามากเกินไป เพราะกิ่งไม้อาจไปกระทบกับหม้อแปลง ทำให้ไฟช็อดได้ บ้านอยู่ติดกับอาคารสูง ในทางฮวงจุ้ยบอกว่า อาคารที่สูงกว่าจะกดข่มอาคารที่ต่ำกว่า และความต่างระดับกันมากจะส่งผลให้กระแสชี่ บริเวณนั้นไหลไม่สม่ำเสมอ คงต้องบอกก่อนว่า อาคารกับบ้านจะต้องต่างระดับกันมาก ไม่ใช่บ้านสองชั้นอยู่ติดกับอาคาร 3 ชั้น อย่างนี้ไม่เข้าข่ายที่มีผลกระทบครับ ต้องต่างกันอย่างน้อยเท่าตัวขึ้นไป ความต่างยิ่งมากยิ่งมีผลกระทบมาก
วิธีแก้ไข อาจปลูกต้นไม้ใหญ่ทรงสูงด้านที่ติดกับอาคารสูงนั้น เพื่อลดความโดดเด่นของอาคารลง การมองเห็นต้นไม้ย่อมดีกว่ามองเห็นอาคารปูนที่ดูหนักและใหญ่ บางตำราอาจแนะนำให้ใช้กระจกเว้ามาติดแก้อาคารสูง เพื่อให้อาคารสูงนั้นไม่ทำร้ายบ้าน เพราะคุณสมบัติของกระจกเว้า จะทำให้ภาพที่สะท้อนกลายเป็นหัวกลับ คล้ายๆกับกรณีแก้จั่วสามเหลี่ยม ลองมองไปรอบๆบ้านดูสิครับว่า มีข้อใดเข้าข่ายนี้บ้าง ถ้าไม่มีก็ถือว่าโชคดี ผลกระทบในเรื่องฮวงจุ้ยก็ไม่เกิด อย่าลืมว่า ผลกระทบที่เกิดจากภายนอกบ้าน จะส่งผลกระทบมากกว่าภายในบ้าน เพราะเราไม่สามารถไปเปลี่ยนแปลงภายนอกได้ แต่ถ้าเป็นเรื่องภายในจะทำอะไรก็ได้ รื้อบ้านทิ้งทั้งหลังก็ทำได้ ไม่มีใครว่าอะไรจริงมั้ยครับ?.